วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2554

พืชพรรณบำรุงผิวพรรณให้สวย


วิธีธรรมชาติที่ว่า ขอตีความว่าอาศัยสิ่งที่ได้มาจากธรรมชาติ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณแนะนำพืชพรรณต่อไปนี้

1.มะละกอ ช่วยผลัดผิว การพอกมะละกอบดละเอียดบนผิวหน้าในระหว่างอบไอน้ำจะช่วยทำให้หน้าขาว ใส ยิ่งขึ้น โดยนำมะละกอสุกบดละเอียดทาบนใบหน้า หลีกเลี่ยงรอบดวงตา แล้วอังหน้ากับชามอ่างภายใต้ผ้าขนหนูตามวิธีการอบไอน้ำผิวหน้า

2.น้ำผัก-ผลไม้ 
-นำผักผลไม้ 50 กรัมต่อครั้ง ล้าง เช็ดให้แห้ง
-ปอกเปลือกแล้วปั่นหรือบดละเอียด
-เติมน้ำบริสุทธิ์ 25 มิลลิลิตร
-ทิ้งไว้สักครู่แล้วใช้ผ้าขาวบางกรองแยกกา
-เก็บแต่น้ำไว้ใช้เป็นโทนเนอร์ สำหรับสรรพคุณแต่ละประเภท

2.1 ว่านหางจระเข้ บำรุงผิว สำหรับทุกสภาพผิว
2.2 แตงกวา ปรับสภาพผิว สำหรับผิวมัน
2.3ฝรั่ง ขัดผิว
2.4 ตะไคร้ ทำความสะอาดผิวสำหรับทุกสภาพผิว
2.5 สับปะรด ขัดผิว
2.6มะขาม ขัดผิว สำหรับผิวมัน

3.ไพลและผงลูกจันทน์เทศ ขัดผิว
-ไพลสด 1 ช้อนโต๊ะ ผงลูกจันทน์เทศ 1 ช้อนชา
-ล้างไพลให้สะอาด ปอกเปลือกแล้วปั่น จากนั้นเทผงลูกจันทน์เทศลงไป คลุกเคล้าจนเข้ากัน
- ทาลงบนใบหน้าและขัดเบาๆ ล้างออกด้วยน้ำอุ่น ไพลเพิ่มความชุ่มชื่นและบำรุงผิว เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว

4.ขมิ้นและถั่วเหลือง พอกผิว
-ขมิ้นสด 10 กรัม ถั่วเหลือง 15 กรัม ล้างขมิ้น ปอกเปลือกแล้วปั่น
-ถั่วเหลืองล้างโดยแช่น้ำทิ้งไว้ 20 นาที ปั่นแล้วนำมาผสมกับขมิ้น คลุกเคล้าให้เข้ากัน
-ทาทิ้งไว้บนใบหน้าประมาณ 10 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น ขมิ้นช่วยลดอาการอักเสบและสมานผิว ส่วนถั่วเหลืองมีเอสโตรเจน โปรเจสเตอโรนและไฟโตเอสโตรเจน ทำให้ผิวขาวและนุ่มขึ้น

5.น้ำผึ้งและแตงกวา ขัดผิว
-น้ำผึ้ง 8 ออนซ์ น้ำมะนาวคั้น 10 หยด
-แตงกวาฝานเป็นแผ่นบางๆ ผสมน้ำผึ้งกับน้ำมะนาวเข้าด้วยกัน
-ทาลงบนใบหน้าแล้วนวด 15 นาที ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดออก จากนั้นวางแผ่นแตงกวาบนใบหน้าและลำคอ แตงกวาจะช่วยดูดซับสิ่งสกปรกที่ตกค้างออก ช่วยให้ผิวเย็น ตึง และเพิ่มความชุ่มชื่น
-ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออก เช็ดด้วยผ้าชุบน้ำหมาดๆ อีกครั้ง ทั้งนี้ น้ำผึ้งทำให้ผิวนุ่มขึ้น ลดความระคายเคืองของผิวและบรรเทาอาการอักเสบ ส่วนน้ำมะนาวช่วยในกระบวนการผลัดผิว

6.กล้วย ส่วนผสม
-กล้วยสุกผลขนาดกลาง 2 ผล วีตเจิร์ม ออยล์ ครึ่งช้อนชา น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา น้ำมันหอมระเหยกลิ่นดอกมะลิ 2 หยด
-ปั่นกล้วยแล้วใส่ส่วนผสมที่เหลือทั้งหมดลงไปคลุกเคล้า
-ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดด้วยโทนเนอร์ จากนั้นทาตัวพอก ทิ้งไว้ 20 นาที
-ล้างออกด้วยน้ำอุ่นและเช็ดด้วยโทนเนอร์อีกครั้งเพื่อกำจัดตัวพอกที่ตกค้างออกให้หมด กล้วยอุดมไปด้วยวิตามินเอและโพแทสเซียม ส่วนน้ำมันหอมระเหยกลิ่นดอกมะลิช่วยปรับสภาพผิว ลดเลือนรอยแผลเป็น น้ำผึ้งเพิ่มความชุ่มชื้นและบำรุงผิว

7.น้ำผึ้งและส้ม กระชับผิวหน้า
-ส้มหรือส้มจีน 1 ชิ้น น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา น้ำมันหอมระเหยดอกลาเวนเดอร์ 1 หยด
-บีบส้มให้น้ำส้มออกมา ถูส้มให้ทั่วใบหน้า กรดผลไม้ในส้มช่วยทำความสะอาดผิวและเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว
-ใช้ฟองน้ำหรือผ้าชุบน้ำเปียกหมาดๆ เช็ดออกเบาๆ
-ผสมน้ำผึ้งเข้ากับน้ำมันหอมระเหยดอกลาเวนเดอร์ ทาลงบนใบหน้า นวดเบาๆ ทิ้งไว้ 5-10 นาที
-ล้างออกด้วยน้ำอุ่น เป็นตัวพอกหน้าที่ช่วยให้ผิวนุ่มและสดใส เต่งตึง อ่อนโยนต่อผิว ทำได้บ่อยครั้งทั้งช่วยให้จุดด่างดำจางลง

8.กล้วยและอะโวคาโด ใช้พอกหน้าสำหรับผิวแห้ง ส่วนผสมประกอบด้วย
-กล้วยสุกผลเล็ก 1 ผล อะโวคาโดสุกผลเล็ก 1 ผล โยเกิร์ตกลิ่นธรรมชาติ 2 ช้อนโต๊ะ น้ำมันวิตามินอี 2 หยด
-บดกล้วยและอะโวคาโดเข้าด้วยกันจนข้นและมีสีเขียว
-ผสมโยเกิร์ตและน้ำมันวิตามินอีลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน เมื่อเตรียมตัวพอกเสร็จแล้ว
-ล้างหน้าและอบไอน้ำผิวหน้าเพื่อให้รูขุมขนเปิด จากนั้นจึงทาตัวพอกลงบนใบหน้านวดและทิ้งไว้ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น ผลลัพธ์ที่ได้คือหน้าลื่น เรียบเนียนและหอม

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

วิธีบรรเทาอาการปวดขาของสาวช็อปปิ้ง


   ผู้หญิง กับการช็อปปิ้ง เป็นอะไรที่แยกออกจากกันไม่ได้จริงๆ จะเห็นได้ว่าคุณสาวๆ จะมีความสุขจนลืมทุกอย่างไปเลยเมื่อได้ช็อปปิ้ง ยิ่งช่วงที่มีการลดราคากระหน่ำ หรือมิดไนต์เซลตาม ห้างสรรพสินค้าต่างๆ จนอาจลืมไปว่าร่างกายของเราจะต้องแบกรับน้ำหนักจากข้าวของที่พะรุงพะรังมาก มายแค่ไหน จนเป็นเหตุให้สาวนักช็อปหลายคนเกิดอาการเจ็บปวดตามส่วนต่างๆ ของร่างกายตามมา

นายแพทย์เกรียงไกร เบญจวงศ์เสถียร ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ โรงพยาบาลเวชธานี กล่าวว่า ปัญหาของสาวๆ ที่รักการช็อปปิ้งที่พบมากก็คือ
  • ปวดกล้ามเนื้อ เนื่องจากกล้ามเนื้อบริเวณไหล่ และ หลังทำงานหนัก เกิดการหดเกร็ง เนื่องจากต้องแบกหรือถือถุงหนักๆ

  • ปวดข้อมือ ชาตามปลายนิ้ว เนื่องจากการคล้องกระเป๋า หรือถุงต่างๆ บริเวณแขนและข้อมือ ทำให้เส้นประสาท ถูกกดทับ อาจเกิดอาการชาตามปลายนิ้วต่างๆ ได้ บางคนอาจปวดร้าวเหมือนถูกไฟชอร์ตวิ่งอยู่ตลอดเวลา ถ้าเป็นมากอาจทำให้มีอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้ออุ้งมือได้

  • เอ็นอักเสบ โดยอาจเป็นที่เอ็นบริเวณข้อหัวไหล่ เอ็นบริเวณ ข้อศอก ปลอกหุ้มเอ็นบริเวณนิ้วอักเสบ และถ้าหิ้วถุงหนักมากๆ อาจทำให้ปลอกหุ้มเอ็นบริเวณนิ้วอักเสบ หากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้เกิดพังผืด เกิดภาวะนิ้วล็อก (Trigger finger) แต่ถ้าใครรู้ตัวว่ายังไม่สามารถลด ละ เลิก การช็อปปิ้งได้ ก็ควรหาวิธีป้องกันอาการเจ็บปวดเหล่านี้ด้วยตัวเองง่ายๆ คือ

  1.  หลีกเลี่ยงการใช้กระเป๋าใบใหญ่มาก เพราะจะยิ่งเผลอตัวใส่ของมากเกินไป น้ำหนักก็จะมากตามไปด้วย เปลี่ยนมาเป็นกระเป๋าขนาดที่เหมาะสมกับรูปร่างของตัวเองจะดีกว่า
  2. ใช้บริการฝากของหรือใช้รถเข็นของที่ห้างสรรพสินค้าก็เป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ
  3.  เลือกใส่รองเท้าสบายๆ ยามที่เดิน ช็อปปิ้ง
  4. บริหารข้อนิ้ว ข้อมือ ข้อศอก และไหล่ เพื่อป้องกันการเคล็ดหรือเอ็นอักเสบง่ายๆ เช่น ยืนชิดผนังแล้วใช้นิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วกลาง ทาบและไต่ขึ้น – ลงบนผนัง 10 ครั้ง, หมุนข้อมือเป็นวงกลมซ้าย – ขวา 10 ครั้ง บริหารไหล่ หมุนแขนไปข้างหน้า – หลัง เป็นวงกลม ข้างละ 10 ครั้ง
  5. หากรู้สึกปวดกล้ามเนื้อมาก ใช้แผ่นประคบเย็นเพื่อลดอาการปวดบวมใน 1 – 2 วันแรก หลังจากนั้นใช้แผ่นประคบร้อนพร้อมยืดกล้ามเนื้อเบาๆ หรือจะใช้ยานวด หรือรับประทานยาแก้ปวดบรรเทาด้วยก็ได้ ถ้าอาการไม่ดีขึ้นควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
By...ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามธุรกิจ      http://www.healthnet.in.th/

วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2554

14 เคล็ดลับคงความเป็นหนุ่มสาว



           ปัจจุบันศาสตร์แห่งการชะลอวัยเป็นที่พูดถึงอย่างมากในอเมริกาและยุโรป นี่คือเคล็ดลับ 14 ข้อที่จะคงความเป็นหนุ่มสาว จาก แพทย์หญิงพัฒศรี พงษ์สถิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัยกรุงเทพ ศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพ

1.แคลอรี่เยอะ เสื่อมเร็ว
          สิ่งที่ควรกินมากที่สุดคือ น้ำบริสุทธิ์ 1-2 ลิตรต่อวัน เน้นผักผลไม้ อาหารกลุ่มโปรตีนมีประโยชน์ ไขมันไม่อิ่มตัวกลุ่มโอเมก้า 3, 6 และ 9 ส่วนสิ่งที่ควรกินให้น้อยที่สุดให้น้อยที่สุดคือไขมันอิ่มตัวที่มีอยู่ในแป้งและน้ำตาล
                                                                                                       
2.กินหลากแหล่ง
มีงานวิจัยบ่งชี้ว่า การลดการกินอาหารที่มีสารพิษไม่ให้ผลดีเท่ากับกินอาหารจากหลากแหล่งผลิต

3.ร้อนไปไม่ดี กรอบไปไม่เวิร์ค
หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่ผ่านกระบวนการร้อนจัดหรือทอดจนกรุงกรอบ นอกจากจะสูญเสียคุณค่าสารอาหารแล้ว ยังเพิ่มสารก่อมะเร็งมากขึ้นด้วย สู้เปลี่ยนมากินอาหารออร์แกนิกหรือผ่านกรรมวิธีนึ่งหรือต้มจะดีกว่า

4.ลดคาเฟอีน
รับประทานเครื่องดื่มมีคาเฟอีนมาก ถ้าเกิดภาวะไทรอยด์ต่ำ การเผาผลาญก็จะต่ำลง แม้เราจะรับประทานอาหารเท่าเดิม แต่อ้วนง่าย บางคนมีอากรมอเท้าเย็น เวียนศรีษะ ความจำเสื่อม ผิวและผมแห้ง ไขมันในเลือดสูงเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เป็นลูกโซ่ไปเรื่อยๆ

5.ดื่มนมมากไปกระดูกพรุน
ในวัยผู้ใหญ่ไม่มีเอนไซม์ที่ใช้ในการย่อยนม กรดแอมิโนบางอย่างในนมทำให้เลือดเป็นกรด ส่งผลให้เกิดการสูญเสียแคลเซียมและแมกนีเซียมจากกระดูกไปในปัสสาวะ เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนในวัยผู้ใหญ่ ทางที่ดีเลือกทานแคลเซียมจากแหล่งอื่นๆ เช น ปลาเล็กปลาน้อย ธัญพืช หรือเต้าหู้จะดีกว่า

6.ดื่มน้ำจากขวดแก้ว
การดื่มน้ำบริสุทธิ์จากขวดแก้วดีกว่าดื่มน้ำจากขวดพลาสติก เพราะสารพิษในพลาสติกละลายปะปนในน้ำตลอดเวลา ทำให้ร่างกายได้รับสารพิษ ก่อให้เกิดความเสื่อมอย่างไม่ต้องสงสัย

7.หน้าแก่เพราะฟิตเกิน
การออกกำลังกายให้พอดี แบบแอโรบิกที่เหมาะสมอยู่ที่ 30-45 นาทีต่อวัน จากนั้นยกเวทนิดหน่อย ทำ 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ ถือเป็นการออกกำลังกายที่ดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ส่งผลดีต่อร่างกายมากกว่าผลเสีย

8.ดื่มเหล้ามาก จากชายกลายเป็นหญิง
เพราะเหล้ามีผลต่อตับ ทำให้มีการเปลี่ยนฮอร์โมนจากชายกลายเป็นหญิงมากขึ้น  คนที่ดื่มหนักจะลงพุงและแก่เร็ว นอกจากนี้ยังทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ในผู้หญิงที่ดื่มหนักมาก มีผลการวิจัยออกมาแล้วว่า เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมเช่นเดียวกัน

9.หยุดสูบเสียแต่วันนี้
บุหรี่ 1 สูบกระตุ้นการสร้างสารอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น 1014 ล้านโมเลกุล ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคถุงลมโป่งพองและโรคมะเร็ง

10.หลีกเลี่ยงโลหะหนักและสารปรอท
มีงานวิจัยบ่งชี้ว่าคนเป็นมะเร็งเต้านมและอัลไซเมอร์มีผลส่วนหนึ่งมาจากปรอทและโลหะหนัก ปัจจุบันคนเยอรมันหันมาใช้ “เซอร์โคเนียม” (เพชรรัสเซีย) ในการอุดฟัน รวมถึงการผลิตข้อเทียม กระดูก และรากฟันเทียมแทน เพราะไม่ทำปฏิกิริยาต่อร่างกาย

11.วางโทรศัพท์มือถือไกลตัว
มีงานวิจัยว่าการใช้โทรศัพท์มือถือซึ่งใช้คลื่นความถี่สูง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง ถ้าเป็นไปได้ ควรวางโทรศัพท์ไว้ห่างจากร่างกายจะดีกว่า

12.เข้านอนตั้งแต่สี่ทุ่ม
ตั้งแต่ 4 ทุ่มถึงตีสองเป็นช่วงที่ร่างกายผลิตฮอร์โมนเมลาโทนินซึ่งส่งผลให้หลับลึก ทำให้ความจำดี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และทำให้การหลั่งฮอร์โมนอื่นๆในร่างกายสมดุล ขณะเดียวกันช่วงที่ร่างกายหลับลึกส่งผลให้โกร็ธฮอร์โมนหลั่งออกมาเพื่อเสริมสร้างโปรตีนในร่างกาย ได้แก่ คอลลาเจนใต้ผิวหนัง กล้ามเนื้อ และกระดูกให้แข็งแรง ช่วยลดไขมันที่สะสมในร่างกาย ถ้าไม่อยากแก่ อย่านอนดึกจนเกินไป

13.กินวิตามิน
ก่อนรับประทานควรไปตรวจหาปริมาณสารวิตามินต่างๆในเลือดว่าเพียงพอหรือไม่ มีความจำเป็นต้องได้รับในปริมาณเท่าไหร่ต่อวันจึงจะเหมาะสมที่สุด

14.เสริมฮอร์โมน
ปกติร่างกายต้องใช้ฮอร์โมนในการทำงาน แต่ผู้หญิงผู้ชายถูกกำหนดไว้แล้วโดยเฉลี่ยเมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไป ร่างกายจะเริ่มเข้าสู่ภาวะผลิตฮอร์โมนลดลง เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่พึงประสงค์เราสามารถได้รับฮอร์โมนทดแทนเพื่อรักษาสมดุลเหล่านั้นกลับคืนมา แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
อ่านเพิ่มเติมได้ที่  http://www.bangkokhealth.com/index.php/Teen/

วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554

Get Fit - ออกกำลังกายสลายหน้าท้อง

Get Fit - ท่าที่ 1
1.1  นอนหงายราบกับพื้น มือประสานกันไว้ที่ท้ายทอย ขาทั้งสองข้างยกขึ้นทำมุมกับพื้นประมาณ 45 องศา งอเข่าขวาเข้าหาลำตัว ให้ขาซ้ายเหยียดตรง1. นอนหงายราบกับพื้น มือประสานกันไว้ที่ท้ายทอย ขาทั้งสองข้างยกขึ้น


1.2   ยกศีรษะและข้อศอกซ้ายขึ้นบิดเข้าหาเข่าขวาให้มากที่สุด ทำ 10 ครั้ง จากนั้นสลับเอาข้อศอกขวาแตะเข่าซ้ายทำ 10 ครั้


Get Fit - ท่าที่ 2



2.1 นอนหงายราบกับพื้น มือทั้งสองประสานกันไว้ที่ท้ายทอย ยกเข่าทั้งสองขึ้นตั้งฉากกับพื้น แล้วข้อเท้าไขว้กันไว้


2.2 ยกไหล่และศีรษะขึ้น ค้างไว้นับ 1-10 วางขาและไหล่ลง ทำซ้ำ 10 ครั้ง


Get Fit - ท่าที่ 3


3.1 นอนหงายราบกับพื้น มือทั้งสองประสานกันไว้ที่ท้ายทอย พาดขาขวาไปที่เข่าซ้าย เหมือนนั่งไขว่ห้าง

3.2 ยกศีรษะและข้อศอกซ้ายขึ้นบิดเข้าหาเข่าขวา ทำสลับซ้ายขาวข้างละ 10 ครั้ง


Get Fit - ท่าที่ 4

4.1 นอนหงายราบกับพื้น มือทั้งสองประสานไว้ที่ท้ายทอย ยกขาขึ้นให้สะโพกตั้งฉากกับพื้น งอเข่า

4.2 ดึงเข่าเข้าหาลำตัวพร้อมกับยกลำตัวให้ข้อศอกแตะเข่า ค้างไว้ประมาณ 2-3 วินาที ทำซ้ำประมาณ 10 ครั้ง

^^แค่ออกกำลังกายทุกๆวันก็จะมีรูปร่างที่สวยงาม ทั้งยังทำให้สุขภาพร่างกายเเข็งแรง จิตใจแจ่มใส ร่าเริงอีกด้วย



กินน้ำตาลเท่าไร ห่างไกลโรคทางอารมณ์



           อาทิ โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเส้นเลือดสูง เป็นต้น
ล่าสุด ผลงานวิจัยเรื่องหนึ่งระบุว่า การกินน้ำตาลน้อยเกินไป ก็ทำให้ป่วยเป็นโรคทางอารมณ์ได้เช่นเดียวกันค่ะ
เนื่องจาก น้ำตาลที่รับประทานเข้าไป จะถูกย่อยเป็นกลูโคส ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของสมอง และส่งเสริมการทำงานของสารสื่อประสาท ที่ช่วยควบคุมอารมณ์ของคนเราให้เกิดความสมดุล
          ดังนั้น การกินน้ำตาลน้อยเกินไป จึงส่งผลให้สารสื่อประสาทในสมองที่ควบคุมอารมณ์เสียความสมดุล คนกินน้ำตาลน้อยๆ จึงกลายเป็นคนขี้หงุดหงิด ไม่มีความอดทน และโมโหง่าย
องค์การอนามัยโลกได้กำหนดปริมาณน้ำตาลที่ควรกินไว้ว่า ไม่ควรเกินร้อยละ 10 ของปริมาณพลังงานที่เราควรได้รับใน 1 วัน หรือไม่ควรเกิน 4 – 8 ช้อนชา สำหรับผู้ต้องการพลังงาน 1,600 – 2,400 กิโลแคลรอลี
โดยการกินน้ำตาลที่เหมาะสม ควรเป็นน้ำตาลอ้อย หรือน้ำตาลที่ได้จากแป้งไม่ขัดสี
เพื่อร่างกายที่แข็งแรง อ่อนหวานอย่างพอดีนะคะ

นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 301

วันพุธที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2554

ชาเปลือกเลมอนบำรุงเสียงสูตรอิตาเลียน

ไม่ว่าจะพูดคุยกันในที่ประชุม กล่าวปราศรัยในงานต่างๆ ตะโกนแข่งกับเสียงเครื่องจักร ฯลฯ พฤติกรรมเหล่านี้เองที่ทำให้คุณมีอาการเจ็บ และระคายเคืองคอจนเสียงแหบแห้ง

นอกจากลดใช้เสียงลงแล้ว ชงชาสไตล์อิตาเลียนร้อนๆ ดื่มบำรุงเสียงก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วย ด้วยทั้งเปลือกเลมอน เสจ และไธม์ ต่างมีสรรพคุณช่วยคืนความชุ่มชื้นแก่เส้นเสียง และช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองคอได้ชะงัดนัก โดยมีสูตรง่ายๆ ดังนี้ค่ะ

ส่วนผสม
1.เปลือกเลมอนสดขูด 2 ช้อนชา
2.ใบเสจแห้งหั่น 1 ช้อนชา
ใบไธม์แห้งหั่น ½ ช้อนชา
3.น้ำร้อน 1 แก้ว
4.น้ำเลมอน ½ ผล
5.น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีชง
-ใส่เปลือกเลมอน เสจ และไธม์ ลงในแก้ว ตามด้วยน้ำร้อน ปิดฝาแก้วไว้ 15 นาที จากนั้นกรองเอาแต่น้ำใส่แก้วอีกใบ เติมน้ำเลมอน และน้ำผึ้ง คนให้เข้ากัน แล้วดื่ม
***ไม่อยากได้ฉายาแหบเสน่ห์ (แบบสุขภาพเสีย) แนะนำให้ชงดื่มเป็นประจำ วันละ 1-2 แก้วค่ะ

จาก...นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 300

เคล็ดลับต้มข้าวโพดให้เนื้อนุ่ม หอม ด้วยน้ำเต้าหู้

คุณผู้อ่านนิตยสารชีวจิตคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า ข้าวโพดนี้ มีคุณค่าทางอาหาร ทั้งโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และวิตามิน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกายอยู่หลายชนิด อาทิ มีวิตามินบี 1 ซึ่งเป็นอาหารบำรุงสมอง มีสารแอนตี้ออกซิเดนท์ ช่วยต้านการเกิดเซลล์มะเร็ง และมีสารเบต้าเคโรทีน และโฟเลต ช่วยบำรุงสายตา เป็นต้น
ดังนั้น หากใครเบื่อการต้มหรือนึ่งข้าวโพดแบบเดิมๆ ซึ่งทำให้เนื้อข้าวโพดแข็งและไม่หอมล่ะก็ เรามีวิธีการต้มข้าวโพดให้เนื้อนุ่ม หอม น่ากินมาฝากกัน

ส่วนผสม
1.น้ำสะอาด 10 ถ้วย
2.น้ำเต้าหู้ 1 ถ้วย
3.น้ำตาลทรายแดง 1 ช้อนชา
4.ข้าวโพด 3 ฝัก

วิธีทำ
1. ต้มน้ำด้วยไฟแรงปานกลาง
2. ใส่น้ำเต้าหู้และน้ำตาลทรายแดงลงไป คนให้ละลาย
3. รอจนน้ำเดือด แล้วใส่ฝักข้าวลงไปต้มจนสุก

เพียงเท่านี้ ข้าวโพดนุ่มๆ แสนอร่อย ก็พร้อมกินแล้วล่ะค่ะ จาก...นิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 300

>>>..

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...