วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

กินอย่างไรให้ผิวสุขภาพดี

                                                

             พ.ญ.กานต์ ชนก พานิช กรรมการผู้จัดการ กานต์ชนกคลินิก ให้ความรู้ถึงการรักษาผิวสวยของสาวๆ ทุกวัย ที่เกี่ยวข้องกับการกินอาหาร โดยเน้นสารกลูต้าไธโอนเป็นพิเศษ เพราะสารตัวนี้เป็นโฮโมนชนิดหนึ่งที่ตับเป็นผู้สร้าง มีคุณสมบัติต่อต้านอนุมูลอิสระ (แอนตี้ออกซิแดนต์) เซลล์ไม่ถูกทำลาย ส่งผลให้เซลล์ใต้ผิวหนังแข็งแรงตามไปด้วย ทำให้เม็ดสีลดลง ผิวจึงขาวขึ้น
        แหล่งกลูต้าไธโอนมีอยู่ในสารสกัดจากธรรมชาติมากมาย ที่เด่นๆ คือ เปลือกสนฝรั่งเศส หากเป็นเปลือกสนสีส้มอ่อนจะมีคุณสมบัติในการแอนตี้ออกซิแดนต์ทำให้ขาวได้ เนื่องจากพืช ตระกูลเปลือกสนมีคุณสมบัติช่วยเปิดเส้นเลือดหัวใจ ช่วยทำลายพลักหรือคราบไขมันที่เกาะในเส้นเลือด ทำให้เส้นเลือดไม่ยืดหยุ่น เกิดภาวะการอุดตัน เส้นเลือดตีบลง ทำให้ส่งผ่านเลือดไปสู่หัวใจได้น้อยลง
        กลูต้าไธโอนในธรรมชาติมีอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ในข้าวซ้อมมือของไทยเรานี่เอง กินข้าวซ้อมมือวันละ 3 มื้อ เราจะได้กลูต้าไธโอนธรรมชาติ ที่ร่างกายนำไปใช้ได้ทันที นอกจากนี้ยังพบในผัก ผลไม้ อาทิ แตงโม สตรอว์เบอร์รี่ องุ่น ผลอะโวคาโด สำหรับเนื้อสัตว์พบในปลา และเนื้อแดง เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว ฯลฯ
  “You are what you eat” หรือ กินเช่นไรได้เช่นนั้น ยังคงเป็นประโยคที่หลายๆ คนเห็นด้วย หากรวมอาหารนี้ไว้ในมื้ออาหารที่เรารับประทาน ก็จะได้ผิวพรรณที่สวยสมบูรณ์แบบ

1. ส้ม อุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใสดูอ่อนวัย
2. มะนาว อุดมด้วยวิตามินซี ที่มีประโยชน์ ต่อผิว และยังช่วยทำความสะอาดตับซึ่งทำหน้าที่กำจัดของเสียออกจากร่างกายได้อีกด้วย
3. แครอต ให้คุณค่าเบต้าแคโรทีน ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ อาหารที่จำเป็นสำหรับผิว
4. กีวี ประกอบด้วยวิตามินซีที่เป็นประโยชน์ต่อการสร้างคอลลาเจน
5. อะโวคาโด อุดมไปด้วยวิตามินอีที่ช่วยบำรุงผิว การกินอะโวคาโดวันละผล ให้วิตามินอีเพียงพอกับความต้องการของร่างกายในแต่ละวันได้
6. โยเกิร์ต ช่วยในการขับถ่าย ทำให้ผิวพรรณสดใส ไม่หมองคล้ำ
7. เมล็ดถั่วต่างๆ อุดมด้วยโปรตีน สารอาหารที่จำเป็นสำหรับผิวสวย
8. งา อุดมด้วยวิตามินบี สังกะสี และโพแทสเซียม ช่วยเสริมสร้างเซลล์ผิวใหม่ ทำให้ผิวดูสดใสอ่อนวัยอยู่เสมอ
9. ผักโขม อุดมด้วยธาตุเหล็ก ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งอมชมพูดูมีสุขภาพดี และ 10.ปลาอุดมไขมัน เช่น ปลาแซลมอน น้ำมันปลาช่วยให้ผิวพรรณเต่งตึง ไม่เหี่ยวย่น         
ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด                          

                                       

วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2554

พืชพรรณบำรุงผิวพรรณให้สวย


วิธีธรรมชาติที่ว่า ขอตีความว่าอาศัยสิ่งที่ได้มาจากธรรมชาติ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณแนะนำพืชพรรณต่อไปนี้

1.มะละกอ ช่วยผลัดผิว การพอกมะละกอบดละเอียดบนผิวหน้าในระหว่างอบไอน้ำจะช่วยทำให้หน้าขาว ใส ยิ่งขึ้น โดยนำมะละกอสุกบดละเอียดทาบนใบหน้า หลีกเลี่ยงรอบดวงตา แล้วอังหน้ากับชามอ่างภายใต้ผ้าขนหนูตามวิธีการอบไอน้ำผิวหน้า

2.น้ำผัก-ผลไม้ 
-นำผักผลไม้ 50 กรัมต่อครั้ง ล้าง เช็ดให้แห้ง
-ปอกเปลือกแล้วปั่นหรือบดละเอียด
-เติมน้ำบริสุทธิ์ 25 มิลลิลิตร
-ทิ้งไว้สักครู่แล้วใช้ผ้าขาวบางกรองแยกกา
-เก็บแต่น้ำไว้ใช้เป็นโทนเนอร์ สำหรับสรรพคุณแต่ละประเภท

2.1 ว่านหางจระเข้ บำรุงผิว สำหรับทุกสภาพผิว
2.2 แตงกวา ปรับสภาพผิว สำหรับผิวมัน
2.3ฝรั่ง ขัดผิว
2.4 ตะไคร้ ทำความสะอาดผิวสำหรับทุกสภาพผิว
2.5 สับปะรด ขัดผิว
2.6มะขาม ขัดผิว สำหรับผิวมัน

3.ไพลและผงลูกจันทน์เทศ ขัดผิว
-ไพลสด 1 ช้อนโต๊ะ ผงลูกจันทน์เทศ 1 ช้อนชา
-ล้างไพลให้สะอาด ปอกเปลือกแล้วปั่น จากนั้นเทผงลูกจันทน์เทศลงไป คลุกเคล้าจนเข้ากัน
- ทาลงบนใบหน้าและขัดเบาๆ ล้างออกด้วยน้ำอุ่น ไพลเพิ่มความชุ่มชื่นและบำรุงผิว เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว

4.ขมิ้นและถั่วเหลือง พอกผิว
-ขมิ้นสด 10 กรัม ถั่วเหลือง 15 กรัม ล้างขมิ้น ปอกเปลือกแล้วปั่น
-ถั่วเหลืองล้างโดยแช่น้ำทิ้งไว้ 20 นาที ปั่นแล้วนำมาผสมกับขมิ้น คลุกเคล้าให้เข้ากัน
-ทาทิ้งไว้บนใบหน้าประมาณ 10 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น ขมิ้นช่วยลดอาการอักเสบและสมานผิว ส่วนถั่วเหลืองมีเอสโตรเจน โปรเจสเตอโรนและไฟโตเอสโตรเจน ทำให้ผิวขาวและนุ่มขึ้น

5.น้ำผึ้งและแตงกวา ขัดผิว
-น้ำผึ้ง 8 ออนซ์ น้ำมะนาวคั้น 10 หยด
-แตงกวาฝานเป็นแผ่นบางๆ ผสมน้ำผึ้งกับน้ำมะนาวเข้าด้วยกัน
-ทาลงบนใบหน้าแล้วนวด 15 นาที ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดออก จากนั้นวางแผ่นแตงกวาบนใบหน้าและลำคอ แตงกวาจะช่วยดูดซับสิ่งสกปรกที่ตกค้างออก ช่วยให้ผิวเย็น ตึง และเพิ่มความชุ่มชื่น
-ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออก เช็ดด้วยผ้าชุบน้ำหมาดๆ อีกครั้ง ทั้งนี้ น้ำผึ้งทำให้ผิวนุ่มขึ้น ลดความระคายเคืองของผิวและบรรเทาอาการอักเสบ ส่วนน้ำมะนาวช่วยในกระบวนการผลัดผิว

6.กล้วย ส่วนผสม
-กล้วยสุกผลขนาดกลาง 2 ผล วีตเจิร์ม ออยล์ ครึ่งช้อนชา น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา น้ำมันหอมระเหยกลิ่นดอกมะลิ 2 หยด
-ปั่นกล้วยแล้วใส่ส่วนผสมที่เหลือทั้งหมดลงไปคลุกเคล้า
-ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดด้วยโทนเนอร์ จากนั้นทาตัวพอก ทิ้งไว้ 20 นาที
-ล้างออกด้วยน้ำอุ่นและเช็ดด้วยโทนเนอร์อีกครั้งเพื่อกำจัดตัวพอกที่ตกค้างออกให้หมด กล้วยอุดมไปด้วยวิตามินเอและโพแทสเซียม ส่วนน้ำมันหอมระเหยกลิ่นดอกมะลิช่วยปรับสภาพผิว ลดเลือนรอยแผลเป็น น้ำผึ้งเพิ่มความชุ่มชื้นและบำรุงผิว

7.น้ำผึ้งและส้ม กระชับผิวหน้า
-ส้มหรือส้มจีน 1 ชิ้น น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา น้ำมันหอมระเหยดอกลาเวนเดอร์ 1 หยด
-บีบส้มให้น้ำส้มออกมา ถูส้มให้ทั่วใบหน้า กรดผลไม้ในส้มช่วยทำความสะอาดผิวและเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว
-ใช้ฟองน้ำหรือผ้าชุบน้ำเปียกหมาดๆ เช็ดออกเบาๆ
-ผสมน้ำผึ้งเข้ากับน้ำมันหอมระเหยดอกลาเวนเดอร์ ทาลงบนใบหน้า นวดเบาๆ ทิ้งไว้ 5-10 นาที
-ล้างออกด้วยน้ำอุ่น เป็นตัวพอกหน้าที่ช่วยให้ผิวนุ่มและสดใส เต่งตึง อ่อนโยนต่อผิว ทำได้บ่อยครั้งทั้งช่วยให้จุดด่างดำจางลง

8.กล้วยและอะโวคาโด ใช้พอกหน้าสำหรับผิวแห้ง ส่วนผสมประกอบด้วย
-กล้วยสุกผลเล็ก 1 ผล อะโวคาโดสุกผลเล็ก 1 ผล โยเกิร์ตกลิ่นธรรมชาติ 2 ช้อนโต๊ะ น้ำมันวิตามินอี 2 หยด
-บดกล้วยและอะโวคาโดเข้าด้วยกันจนข้นและมีสีเขียว
-ผสมโยเกิร์ตและน้ำมันวิตามินอีลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน เมื่อเตรียมตัวพอกเสร็จแล้ว
-ล้างหน้าและอบไอน้ำผิวหน้าเพื่อให้รูขุมขนเปิด จากนั้นจึงทาตัวพอกลงบนใบหน้านวดและทิ้งไว้ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น ผลลัพธ์ที่ได้คือหน้าลื่น เรียบเนียนและหอม

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

วิธีบรรเทาอาการปวดขาของสาวช็อปปิ้ง


   ผู้หญิง กับการช็อปปิ้ง เป็นอะไรที่แยกออกจากกันไม่ได้จริงๆ จะเห็นได้ว่าคุณสาวๆ จะมีความสุขจนลืมทุกอย่างไปเลยเมื่อได้ช็อปปิ้ง ยิ่งช่วงที่มีการลดราคากระหน่ำ หรือมิดไนต์เซลตาม ห้างสรรพสินค้าต่างๆ จนอาจลืมไปว่าร่างกายของเราจะต้องแบกรับน้ำหนักจากข้าวของที่พะรุงพะรังมาก มายแค่ไหน จนเป็นเหตุให้สาวนักช็อปหลายคนเกิดอาการเจ็บปวดตามส่วนต่างๆ ของร่างกายตามมา

นายแพทย์เกรียงไกร เบญจวงศ์เสถียร ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ โรงพยาบาลเวชธานี กล่าวว่า ปัญหาของสาวๆ ที่รักการช็อปปิ้งที่พบมากก็คือ
  • ปวดกล้ามเนื้อ เนื่องจากกล้ามเนื้อบริเวณไหล่ และ หลังทำงานหนัก เกิดการหดเกร็ง เนื่องจากต้องแบกหรือถือถุงหนักๆ

  • ปวดข้อมือ ชาตามปลายนิ้ว เนื่องจากการคล้องกระเป๋า หรือถุงต่างๆ บริเวณแขนและข้อมือ ทำให้เส้นประสาท ถูกกดทับ อาจเกิดอาการชาตามปลายนิ้วต่างๆ ได้ บางคนอาจปวดร้าวเหมือนถูกไฟชอร์ตวิ่งอยู่ตลอดเวลา ถ้าเป็นมากอาจทำให้มีอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้ออุ้งมือได้

  • เอ็นอักเสบ โดยอาจเป็นที่เอ็นบริเวณข้อหัวไหล่ เอ็นบริเวณ ข้อศอก ปลอกหุ้มเอ็นบริเวณนิ้วอักเสบ และถ้าหิ้วถุงหนักมากๆ อาจทำให้ปลอกหุ้มเอ็นบริเวณนิ้วอักเสบ หากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้เกิดพังผืด เกิดภาวะนิ้วล็อก (Trigger finger) แต่ถ้าใครรู้ตัวว่ายังไม่สามารถลด ละ เลิก การช็อปปิ้งได้ ก็ควรหาวิธีป้องกันอาการเจ็บปวดเหล่านี้ด้วยตัวเองง่ายๆ คือ

  1.  หลีกเลี่ยงการใช้กระเป๋าใบใหญ่มาก เพราะจะยิ่งเผลอตัวใส่ของมากเกินไป น้ำหนักก็จะมากตามไปด้วย เปลี่ยนมาเป็นกระเป๋าขนาดที่เหมาะสมกับรูปร่างของตัวเองจะดีกว่า
  2. ใช้บริการฝากของหรือใช้รถเข็นของที่ห้างสรรพสินค้าก็เป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ
  3.  เลือกใส่รองเท้าสบายๆ ยามที่เดิน ช็อปปิ้ง
  4. บริหารข้อนิ้ว ข้อมือ ข้อศอก และไหล่ เพื่อป้องกันการเคล็ดหรือเอ็นอักเสบง่ายๆ เช่น ยืนชิดผนังแล้วใช้นิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วกลาง ทาบและไต่ขึ้น – ลงบนผนัง 10 ครั้ง, หมุนข้อมือเป็นวงกลมซ้าย – ขวา 10 ครั้ง บริหารไหล่ หมุนแขนไปข้างหน้า – หลัง เป็นวงกลม ข้างละ 10 ครั้ง
  5. หากรู้สึกปวดกล้ามเนื้อมาก ใช้แผ่นประคบเย็นเพื่อลดอาการปวดบวมใน 1 – 2 วันแรก หลังจากนั้นใช้แผ่นประคบร้อนพร้อมยืดกล้ามเนื้อเบาๆ หรือจะใช้ยานวด หรือรับประทานยาแก้ปวดบรรเทาด้วยก็ได้ ถ้าอาการไม่ดีขึ้นควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
By...ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามธุรกิจ      http://www.healthnet.in.th/

วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2554

14 เคล็ดลับคงความเป็นหนุ่มสาว



           ปัจจุบันศาสตร์แห่งการชะลอวัยเป็นที่พูดถึงอย่างมากในอเมริกาและยุโรป นี่คือเคล็ดลับ 14 ข้อที่จะคงความเป็นหนุ่มสาว จาก แพทย์หญิงพัฒศรี พงษ์สถิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัยกรุงเทพ ศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพ

1.แคลอรี่เยอะ เสื่อมเร็ว
          สิ่งที่ควรกินมากที่สุดคือ น้ำบริสุทธิ์ 1-2 ลิตรต่อวัน เน้นผักผลไม้ อาหารกลุ่มโปรตีนมีประโยชน์ ไขมันไม่อิ่มตัวกลุ่มโอเมก้า 3, 6 และ 9 ส่วนสิ่งที่ควรกินให้น้อยที่สุดให้น้อยที่สุดคือไขมันอิ่มตัวที่มีอยู่ในแป้งและน้ำตาล
                                                                                                       
2.กินหลากแหล่ง
มีงานวิจัยบ่งชี้ว่า การลดการกินอาหารที่มีสารพิษไม่ให้ผลดีเท่ากับกินอาหารจากหลากแหล่งผลิต

3.ร้อนไปไม่ดี กรอบไปไม่เวิร์ค
หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่ผ่านกระบวนการร้อนจัดหรือทอดจนกรุงกรอบ นอกจากจะสูญเสียคุณค่าสารอาหารแล้ว ยังเพิ่มสารก่อมะเร็งมากขึ้นด้วย สู้เปลี่ยนมากินอาหารออร์แกนิกหรือผ่านกรรมวิธีนึ่งหรือต้มจะดีกว่า

4.ลดคาเฟอีน
รับประทานเครื่องดื่มมีคาเฟอีนมาก ถ้าเกิดภาวะไทรอยด์ต่ำ การเผาผลาญก็จะต่ำลง แม้เราจะรับประทานอาหารเท่าเดิม แต่อ้วนง่าย บางคนมีอากรมอเท้าเย็น เวียนศรีษะ ความจำเสื่อม ผิวและผมแห้ง ไขมันในเลือดสูงเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เป็นลูกโซ่ไปเรื่อยๆ

5.ดื่มนมมากไปกระดูกพรุน
ในวัยผู้ใหญ่ไม่มีเอนไซม์ที่ใช้ในการย่อยนม กรดแอมิโนบางอย่างในนมทำให้เลือดเป็นกรด ส่งผลให้เกิดการสูญเสียแคลเซียมและแมกนีเซียมจากกระดูกไปในปัสสาวะ เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนในวัยผู้ใหญ่ ทางที่ดีเลือกทานแคลเซียมจากแหล่งอื่นๆ เช น ปลาเล็กปลาน้อย ธัญพืช หรือเต้าหู้จะดีกว่า

6.ดื่มน้ำจากขวดแก้ว
การดื่มน้ำบริสุทธิ์จากขวดแก้วดีกว่าดื่มน้ำจากขวดพลาสติก เพราะสารพิษในพลาสติกละลายปะปนในน้ำตลอดเวลา ทำให้ร่างกายได้รับสารพิษ ก่อให้เกิดความเสื่อมอย่างไม่ต้องสงสัย

7.หน้าแก่เพราะฟิตเกิน
การออกกำลังกายให้พอดี แบบแอโรบิกที่เหมาะสมอยู่ที่ 30-45 นาทีต่อวัน จากนั้นยกเวทนิดหน่อย ทำ 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ ถือเป็นการออกกำลังกายที่ดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ส่งผลดีต่อร่างกายมากกว่าผลเสีย

8.ดื่มเหล้ามาก จากชายกลายเป็นหญิง
เพราะเหล้ามีผลต่อตับ ทำให้มีการเปลี่ยนฮอร์โมนจากชายกลายเป็นหญิงมากขึ้น  คนที่ดื่มหนักจะลงพุงและแก่เร็ว นอกจากนี้ยังทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ในผู้หญิงที่ดื่มหนักมาก มีผลการวิจัยออกมาแล้วว่า เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมเช่นเดียวกัน

9.หยุดสูบเสียแต่วันนี้
บุหรี่ 1 สูบกระตุ้นการสร้างสารอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น 1014 ล้านโมเลกุล ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคถุงลมโป่งพองและโรคมะเร็ง

10.หลีกเลี่ยงโลหะหนักและสารปรอท
มีงานวิจัยบ่งชี้ว่าคนเป็นมะเร็งเต้านมและอัลไซเมอร์มีผลส่วนหนึ่งมาจากปรอทและโลหะหนัก ปัจจุบันคนเยอรมันหันมาใช้ “เซอร์โคเนียม” (เพชรรัสเซีย) ในการอุดฟัน รวมถึงการผลิตข้อเทียม กระดูก และรากฟันเทียมแทน เพราะไม่ทำปฏิกิริยาต่อร่างกาย

11.วางโทรศัพท์มือถือไกลตัว
มีงานวิจัยว่าการใช้โทรศัพท์มือถือซึ่งใช้คลื่นความถี่สูง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง ถ้าเป็นไปได้ ควรวางโทรศัพท์ไว้ห่างจากร่างกายจะดีกว่า

12.เข้านอนตั้งแต่สี่ทุ่ม
ตั้งแต่ 4 ทุ่มถึงตีสองเป็นช่วงที่ร่างกายผลิตฮอร์โมนเมลาโทนินซึ่งส่งผลให้หลับลึก ทำให้ความจำดี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และทำให้การหลั่งฮอร์โมนอื่นๆในร่างกายสมดุล ขณะเดียวกันช่วงที่ร่างกายหลับลึกส่งผลให้โกร็ธฮอร์โมนหลั่งออกมาเพื่อเสริมสร้างโปรตีนในร่างกาย ได้แก่ คอลลาเจนใต้ผิวหนัง กล้ามเนื้อ และกระดูกให้แข็งแรง ช่วยลดไขมันที่สะสมในร่างกาย ถ้าไม่อยากแก่ อย่านอนดึกจนเกินไป

13.กินวิตามิน
ก่อนรับประทานควรไปตรวจหาปริมาณสารวิตามินต่างๆในเลือดว่าเพียงพอหรือไม่ มีความจำเป็นต้องได้รับในปริมาณเท่าไหร่ต่อวันจึงจะเหมาะสมที่สุด

14.เสริมฮอร์โมน
ปกติร่างกายต้องใช้ฮอร์โมนในการทำงาน แต่ผู้หญิงผู้ชายถูกกำหนดไว้แล้วโดยเฉลี่ยเมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไป ร่างกายจะเริ่มเข้าสู่ภาวะผลิตฮอร์โมนลดลง เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่พึงประสงค์เราสามารถได้รับฮอร์โมนทดแทนเพื่อรักษาสมดุลเหล่านั้นกลับคืนมา แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
อ่านเพิ่มเติมได้ที่  http://www.bangkokhealth.com/index.php/Teen/

วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554

Get Fit - ออกกำลังกายสลายหน้าท้อง

Get Fit - ท่าที่ 1
1.1  นอนหงายราบกับพื้น มือประสานกันไว้ที่ท้ายทอย ขาทั้งสองข้างยกขึ้นทำมุมกับพื้นประมาณ 45 องศา งอเข่าขวาเข้าหาลำตัว ให้ขาซ้ายเหยียดตรง1. นอนหงายราบกับพื้น มือประสานกันไว้ที่ท้ายทอย ขาทั้งสองข้างยกขึ้น


1.2   ยกศีรษะและข้อศอกซ้ายขึ้นบิดเข้าหาเข่าขวาให้มากที่สุด ทำ 10 ครั้ง จากนั้นสลับเอาข้อศอกขวาแตะเข่าซ้ายทำ 10 ครั้


Get Fit - ท่าที่ 2



2.1 นอนหงายราบกับพื้น มือทั้งสองประสานกันไว้ที่ท้ายทอย ยกเข่าทั้งสองขึ้นตั้งฉากกับพื้น แล้วข้อเท้าไขว้กันไว้


2.2 ยกไหล่และศีรษะขึ้น ค้างไว้นับ 1-10 วางขาและไหล่ลง ทำซ้ำ 10 ครั้ง


Get Fit - ท่าที่ 3


3.1 นอนหงายราบกับพื้น มือทั้งสองประสานกันไว้ที่ท้ายทอย พาดขาขวาไปที่เข่าซ้าย เหมือนนั่งไขว่ห้าง

3.2 ยกศีรษะและข้อศอกซ้ายขึ้นบิดเข้าหาเข่าขวา ทำสลับซ้ายขาวข้างละ 10 ครั้ง


Get Fit - ท่าที่ 4

4.1 นอนหงายราบกับพื้น มือทั้งสองประสานไว้ที่ท้ายทอย ยกขาขึ้นให้สะโพกตั้งฉากกับพื้น งอเข่า

4.2 ดึงเข่าเข้าหาลำตัวพร้อมกับยกลำตัวให้ข้อศอกแตะเข่า ค้างไว้ประมาณ 2-3 วินาที ทำซ้ำประมาณ 10 ครั้ง

^^แค่ออกกำลังกายทุกๆวันก็จะมีรูปร่างที่สวยงาม ทั้งยังทำให้สุขภาพร่างกายเเข็งแรง จิตใจแจ่มใส ร่าเริงอีกด้วย



กินน้ำตาลเท่าไร ห่างไกลโรคทางอารมณ์



           อาทิ โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเส้นเลือดสูง เป็นต้น
ล่าสุด ผลงานวิจัยเรื่องหนึ่งระบุว่า การกินน้ำตาลน้อยเกินไป ก็ทำให้ป่วยเป็นโรคทางอารมณ์ได้เช่นเดียวกันค่ะ
เนื่องจาก น้ำตาลที่รับประทานเข้าไป จะถูกย่อยเป็นกลูโคส ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของสมอง และส่งเสริมการทำงานของสารสื่อประสาท ที่ช่วยควบคุมอารมณ์ของคนเราให้เกิดความสมดุล
          ดังนั้น การกินน้ำตาลน้อยเกินไป จึงส่งผลให้สารสื่อประสาทในสมองที่ควบคุมอารมณ์เสียความสมดุล คนกินน้ำตาลน้อยๆ จึงกลายเป็นคนขี้หงุดหงิด ไม่มีความอดทน และโมโหง่าย
องค์การอนามัยโลกได้กำหนดปริมาณน้ำตาลที่ควรกินไว้ว่า ไม่ควรเกินร้อยละ 10 ของปริมาณพลังงานที่เราควรได้รับใน 1 วัน หรือไม่ควรเกิน 4 – 8 ช้อนชา สำหรับผู้ต้องการพลังงาน 1,600 – 2,400 กิโลแคลรอลี
โดยการกินน้ำตาลที่เหมาะสม ควรเป็นน้ำตาลอ้อย หรือน้ำตาลที่ได้จากแป้งไม่ขัดสี
เพื่อร่างกายที่แข็งแรง อ่อนหวานอย่างพอดีนะคะ

นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 301

วันพุธที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2554

ชาเปลือกเลมอนบำรุงเสียงสูตรอิตาเลียน

ไม่ว่าจะพูดคุยกันในที่ประชุม กล่าวปราศรัยในงานต่างๆ ตะโกนแข่งกับเสียงเครื่องจักร ฯลฯ พฤติกรรมเหล่านี้เองที่ทำให้คุณมีอาการเจ็บ และระคายเคืองคอจนเสียงแหบแห้ง

นอกจากลดใช้เสียงลงแล้ว ชงชาสไตล์อิตาเลียนร้อนๆ ดื่มบำรุงเสียงก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วย ด้วยทั้งเปลือกเลมอน เสจ และไธม์ ต่างมีสรรพคุณช่วยคืนความชุ่มชื้นแก่เส้นเสียง และช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองคอได้ชะงัดนัก โดยมีสูตรง่ายๆ ดังนี้ค่ะ

ส่วนผสม
1.เปลือกเลมอนสดขูด 2 ช้อนชา
2.ใบเสจแห้งหั่น 1 ช้อนชา
ใบไธม์แห้งหั่น ½ ช้อนชา
3.น้ำร้อน 1 แก้ว
4.น้ำเลมอน ½ ผล
5.น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีชง
-ใส่เปลือกเลมอน เสจ และไธม์ ลงในแก้ว ตามด้วยน้ำร้อน ปิดฝาแก้วไว้ 15 นาที จากนั้นกรองเอาแต่น้ำใส่แก้วอีกใบ เติมน้ำเลมอน และน้ำผึ้ง คนให้เข้ากัน แล้วดื่ม
***ไม่อยากได้ฉายาแหบเสน่ห์ (แบบสุขภาพเสีย) แนะนำให้ชงดื่มเป็นประจำ วันละ 1-2 แก้วค่ะ

จาก...นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 300

เคล็ดลับต้มข้าวโพดให้เนื้อนุ่ม หอม ด้วยน้ำเต้าหู้

คุณผู้อ่านนิตยสารชีวจิตคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า ข้าวโพดนี้ มีคุณค่าทางอาหาร ทั้งโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และวิตามิน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกายอยู่หลายชนิด อาทิ มีวิตามินบี 1 ซึ่งเป็นอาหารบำรุงสมอง มีสารแอนตี้ออกซิเดนท์ ช่วยต้านการเกิดเซลล์มะเร็ง และมีสารเบต้าเคโรทีน และโฟเลต ช่วยบำรุงสายตา เป็นต้น
ดังนั้น หากใครเบื่อการต้มหรือนึ่งข้าวโพดแบบเดิมๆ ซึ่งทำให้เนื้อข้าวโพดแข็งและไม่หอมล่ะก็ เรามีวิธีการต้มข้าวโพดให้เนื้อนุ่ม หอม น่ากินมาฝากกัน

ส่วนผสม
1.น้ำสะอาด 10 ถ้วย
2.น้ำเต้าหู้ 1 ถ้วย
3.น้ำตาลทรายแดง 1 ช้อนชา
4.ข้าวโพด 3 ฝัก

วิธีทำ
1. ต้มน้ำด้วยไฟแรงปานกลาง
2. ใส่น้ำเต้าหู้และน้ำตาลทรายแดงลงไป คนให้ละลาย
3. รอจนน้ำเดือด แล้วใส่ฝักข้าวลงไปต้มจนสุก

เพียงเท่านี้ ข้าวโพดนุ่มๆ แสนอร่อย ก็พร้อมกินแล้วล่ะค่ะ จาก...นิตยสารชีวจิต ฉบับที่ 300

วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2554

เมนูแบบไทยๆ เพื่อสุขภาพ








By Youtube...

เมนูนี้สาวๆที่ลดความอ้วนควรมีติดบ้าน..!!!!!

       สาวๆคนไหนที่กำลังลดความอ้วนอยู่ แต่ว่าไม่มีเวลาไปหาซื้ออาหารที่จำเพาะเจาะ....เราจึงขอแนะนำเมนูที่ควรมี ติดบ้านไว้ค่ะ แค่คุนสาวๆมีเมนุอาหารเหล่านี้ก็เป็นอีทางเลือกหนึ่งได้ค่ะลองมาดูกันนะค่ะ ว่าอาหารเหล่านั้นจะมีอะไรบ้าง
    +เริ่มด้วย สลัดผัก พร้อมหม่ำ เดี๋ยวนี้หาซื้อได้ง่าย ตามซุปเปอร์มาร์เก็ต เป็นแบบห่อ จะมีผักใบเขียว ประเภท ผักกาดแก้ว ผักโขม แครอท แต่ถ้าอยากประหยัด จะซื้อมาทำเตรียมไว้เอง ก็ไม่ผิดกติกานะคะ นอกจากนั้น ผักอื่นๆ อย่าง แตงกวา มะเขือเทศราชินี มีติดไว้ก็ดีค่ะ สลัดผักทานยังไงก็ไม่อ้วนค่ะ แต่ถ้ากลัวว่า ลำพังสลัดผัก จะสลัดความอยากอาหารไว้ไม่อยู่ สลัดผลไม้ ก็น่าสนใจไม่น้อยค่ะ
    +นมโลว์แฟต ถึงจะลดน้ำหนัก แต่ร่างกายก็ต้องการโปรตีน และแคลเซียม อยู่นะคะ นมประเภทไขมัน 0% ทั้งหลาย ขาดไม่ได้นะคะ เดี๋ยวนี้มีให้เลือกดื่ม เยอะแยะค่ะ ยืนอยู่หน้าตู้แช่เย็น ในซุปเปอร์มาร์เก็ตทีไร ตาลายทุกที หรือ สาวๆ จะเลือกเป็น นมเปรี้ยวไขมันต่ำ หรือโยเกิร์ตไขมันต่ำก็ ได้นะคะ เพื่อไม่ให้ เมนูอาหาร เพื่อการลดน้ำหนัก ของเราน่าเบื่อจนเกินไป
    +ขนมปังโฮลวีต ถ้าสาวๆ บอกว่าการ ลดความอ้วน คือการงดแป้งทั้งหมด อยากจะขอบอกให้ลอง ทบทวนดูใหม่อีกทีค่ะ เพราะร่างกาย ยังต้องการสารอาหาร ประเภทพลังงานจาก คาร์โบไฮเดรต อยู่นะคะ ส่วนตัวแล้วแต่สาลิกา มองว่าหากบอกให้ทานข้าว 1 จานหรือ 1 ทัพพี ปริมาณการตัก ของแต่ละคนคงจะ ไม่เท่ากันเป็นแน่แท้
        ด้วยเมนูอาหารเพื่อการลดหน้าหนัก อย่างง่ายๆ ตามที่แนะนำมานี้ มั่นใจว่าจะสามารถ ดึงไขมันออกจากพุง ของเพื่อนๆ ได้อย่างแน่นอน สำคัญแต่ว่าควรออกกำลังกายควบคู่กันไปด้วยนะค่ะ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงของคุณสาวยังไงละค่ะ

จาก:Jeleclick.com

อาหารสุขภาพที่คุณควรระวัง

       
ทุกครั้งก่อนที่จะเลือกซื้อหรือรับประทาน
     * โยเกิร์ตผสมเนื้อผลไม้ : ในด้านหนึ่ง ดูยังไงโยเกิร์ตและผลไม้ก็เป็นอาหารที่มuประโยชน์ ในมุมมอง
     ของผู้ชายที่เข้าฟิตเนสและรักสุขภาพร่างกาย แต่ในอีกด้านหนึ่ง น้ำเชื่อมที่อยู่ในโยเกิร์ต ผสมเนื้อผลไม้นั้นไม่ใช่

     ทั้งโยเกิร์ตและผลไม้ล้วนมีความหวานในตัวอยู่แล้ว น้ำเชื่อมเป็นความหวานเกินพอดีจากน้ำตาลที่เพิ่มเข้าไป คุณจึงควรเลือกที่จะหลีกเลี่ยงความหวานเกินจำเป็นที่ว่า ด้วยการกินโยเกิร์ตควบคุมน้ำตาล หรือมีน้ำตาลต่ำกว่าโยเกิร์ตที่กินเป็นประจำ
 * แคลิฟอร์เนีย โรล : ภาพที่เห็นคือสาหร่ายที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยสารอาหารห่อข้าว มีไอโอดีน เซเลเนียม แคลเซียม และโอเมก้าที่ช่วยบำรุงสมองเป็นส่วนประกอบ แน่นอน, คุณรู้ว่ามันให้ประโยชน์มากแค่ไหน

     แล้วภายใต้ชั้นสาหร่ายนั้นล่ะ ลองมาดูกันหน่อยว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ในนั้นประกอบด้วยอะไร ถ้าไม่ใช่น้ำตาลที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในการหุงข้าวญี่ปุ่น (หุงด้วยน้ำตาลและน้ำส้มสายชู) และเนื้อปูอัดอีกนิดหน่อย รวมๆ แล้วแคลิฟอร์เนีย โรลคำใหญ่จึงมีแต่แป้ง น้ำตาล และเกือบจะไม่มีโปรตีนเลย ทางออก ก็คือ การกินซูชิ
     ที่ทำจากทูน่าหรือแซลมอน ความหลากหลายของโปรตีนในซูชิจะให้ปริมาณโปรตีนแบบเต็มๆ เยอะกว่ามาก และมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตน้อย ถ้ายังไม่พอใจคุณจะสั่งเมนูซาชิมิ เลี่ยงข้าว รับโปรตีนไปเต็มๆ เลยก็ยังไหว รับรองได้ว่าอร่อยและปลอดภัยจากน้ำตาลแน่นอน


  * น้ำสลัดไขมันต่ำ : ดูเหมือนว่าน้ำสลัดไขมันต่ำจะช่วยลดไขมันและลดแคลอรี แต่ที่จริงแล้ว คุณรู้ไหมว่าน้ำตาลถูกเพิ่มเข้าไปแทนที่เพื่อให้ได้รสชาติที่ดี และที่แย่กว่านั้นก็คือความจริงที่ว่าไขมันที่ซึมซับวิตามินได้ถูกแยกออกไป เนื่องจากนักวิจัยมหาวิทยาลัยโอไฮโอค้นพบว่า ร่างกายของคนที่กินผักกับน้ำสลัดธรรมดาดูดซึมเบตาแคโรทีนซึ่งมีคุณสมบัติของแอนตี้ออกซิแดนท์ช่วยป้องกันการก่อ
มะเร็งได้มากกว่าถึง 15 เท่า และดูดซึมลูเทียน (Lutein) สารสีเหลืองซึ่งมีส่วนช่วยในการสกัดกั้นการอุดตันของเส้นเลือดในปริมาณที่มากกว่า 

  น้ำสลัดไขมันต่ำจึงอาจไม่ใช่ทางออกของอาหารสุขภาพที่คุณกำลังมองหา ในเวลาเดียวกันคุณสามารถกินน้ำสลัดทั่วไปได้แต่ในปริมาณน้อย หรือเลือกกินน้ำสลัดที่ทำจากน้ำมันมะกอกและน้ำมันดอกคาโนลา (Canola Oil ) ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ได้
ที่มา นิตยสาร GM

วันอังคารที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2554

เคล็ดลับการกิน ช่วยพิชิตอาการปวดประจำเดือน



1.ลดไขมัน ลดเนื้อสัตว์ เนื่องจากรายงานการวิจัยบอกไว้ว่า การลดปริมาณไขมันลงครึ่งหนึ่งจากที่เคยกิน จะช่วยลดระดับเอสโทรเจนขณะมีรอบเดือนได้ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ และช่วยลดอาการปวดท้อง
2.เลือกกินปลา งานวิจัยชิ้นหนึ่ง ระบุว่า กรดโอเมก้า-3 หรือน้ำมันปลา มีคุณสมบัติช่วยลดอาการปวดท้อง และควบคุมปริมาณประจำเดือนให้มีน้อยลง
3.เพิ่มอาหารที่มีกากใย การได้รับใยอาหารจากผัก ผลไม้ และเมล็ดธัญพืชไม่ขัดสี ช่วยขับเอสโทรเจนส่วนเกิน จึงช่วยให้ปวดประจำเดือนน้อยลง
4.ลดเค็ม การกินอาหารที่มีส่วนผสมของโซเดียมน้อยลง ช่วยให้ผู้หญิงบางคน ลดอาการท้องอืด และบวมน้ำลงได้
5.งดเครื่องดื่มบางชนิดที่มีส่วนผสมของกาแฟอีน และแอลกอฮอลล์
6.กินอาหารแคลเซียมสูง คุณหมอซูซาน ธีร์-จาคอบ โรงพยาบาลเซนต์ลุค โรสเวลด์ ในนิวยอร์ก ให้คำแนะนำว่า การกินแคลเซียมวันละ 1,200 มิลลิกรัม จะช่วยลดอาการปวดประจำเดือนลงได้ 
รู้เคล็ดลับกันแล้ว สาวๆ อย่าลืมนำไปทดลองทำกันดูนะคะ 
*ข้อมูลจากหนังสือ อาหารบำบัดโรค โดย ศัลยา คงสมบูรณ์เวช สำนักพิมพ์อมรินทร์สุขภาพ

ป. ปลาเพื่อหัวใจ




แต่ป.ปลาไหนเล่าที่มีโอเมก้าสูงติดท็อป 5 เรามีรายนามปลามาให้เลือกรับประทานกัน
1. ปลาซาร์ดีน ปลาซาร์ดีนเป็นปลาที่ที่มีปริมาณโอเมก้า 3 สูงที่สุด โดยปลาซาร์ดีน
กระป๋อง 3 ออนซ์ จะให้โอเมก้า 3 ปริมาณ 0.8 กรัม
2. ปลาแมคเคอเรล สำหรับในบ้านเราอาจเลือกรับประทานปลาอินทรีซึ่งเป็นแมคเคอเรล
น้ำลึกพันธุ์หนึ่ง หรือปลาทู ปลาในกลุ่มแมคเคอเรล 3 ออนซ์ ให้โอเมก้า 3 ปริมาณ 1.1-1.7 กรัม 
3. ปลาแซลมอน ปลาแซลมอนเป็นปลาที่นำมาทำอาหารได้หลากหลาย ปลาแซลมอน 3 
กรัม ให้โอเมก้า 3 ปริมาณ 0.9-1.8 กรัม
4. ปลาทูน่า เป็นที่นิยมรับประทานมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะนำมาทำแซนด์วิชสุขภาพ 
ปลาทูน่า 3 ออนซ์  ให้โอเมก้า 3 ปริมาณ 0.8 - 1 กรัม
5. ปลาเทราต์ ปัจจุบันหาปลาเทราต์กินได้ไม่ยาก ปลาเทราต์ 3 ออนซ์  ให้โอเมก้า 3 ปริมาณ 0.8 - 1 กรัม
    นอกจากนี้ยังมีปลาในบ้านเราที่มีโอเมก้า 3 ติดอันดับ อีกหลายชนิด สำหรับปลาทะเล เช่น ปลาโอ ปลากะพง ปลาสำลี ปลารัง และปลาน้ำจืด เช่น ปลาช่อน ปลานวลจันทร์ ปลาบู่  มีให้เลือกหลากหลายชนิดอย่างนี้ ควรกินแบบสลับเวียนกันไปค่ะ
จาก...www.Cheewajit.com

4 อาหารเพื่อคนรักวิ่ง


     วิ่ง...วิ่ง...วิ่ง...เชื่อว่าหลายคนเลือกที่จะออกกำลังกายด้วยการวิ่ง เพราะทำได้ง่ายและสะดวก
    ต่อไปนี้เป็นอาหารที่ควรกินเพื่อเสริมร่างกายทั้งก่อนและหลังวิ่งค่ะ

- อัลมอนด์ อุดมด้วยวิตามินอี ซึ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนต์ที่ช่วยป้องกันอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และภาวะเหนื่อยล้าหลังการวิ่ง
- ส้ม มีวิตามินซีสูง ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายสังเคราะห์คอลลาเจนอันเป็นโปรตีนที่ช่วยให้กระดูกและข้อแข็งแรง 
- มันเทศ มีโพแทเซียมและแมกนีเซียมสูง นอกจากชดเชยแร่ธาตุที่สูญเสียไปกับเหงื่อขณะวิ่งแล้ว ยังช่วยแก้ปัญหาการหดตัวของกล้ามเนื้อ จึงช่วยลดอาการขาเป็นตะคริว 
- ปลาทูน่า อุดมด้วยโปรตีน และกรดไขมันโอเมก้า-3 ช่วยซ่อมแซมกล้ามเนื้อส่วนที่สึกหรอได้เป็นอย่างดี


  ใส่ใจทุกรายละเอียดเพื่อการวิ่งให้ได้ประโยชน์สูงสุดค่ะ 
แม้ว่าการวิ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงได้ แต่เมื่อใช้พลังหมดไปกับการวิ่งแล้ว เราก็ควรชดเชยสิ่งที่ร่างกายสูญเสียไปด้วยเช่นกัน 


จาก...www.Cheewajit.com

10 อาหารเส้นใยลดคอเลสเตอรอล



จากผลการศึกษาพบว่าการบริโภคเส้นใยอาหารชนิดละลายน้ำวันละ 10-30 กรัมจะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดแอลดีแอล(ไขมันชนิดไม่ดี) ลงได้ร้อยละ 10 
ต่อไปนี้คืออาหารอุดมเส้นใย 10 อันดับแรก

1.ถั่วเมล็ดแห้ง เช่น ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วปากอ้า
2.ข้าวโอ๊ตและรำข้าว
3.ผัก ที่มีเส้นใยสูงสุด ได้แก่ บรอกโคลี แครอต ข้าวโพดหวาน
4.ผลไม้แห้ง เช่น ลูกพรุน อินทผลัม มะเดื่อ และแอปริคอต
5.ผลไม้สด (พร้อมเปลือก) แอ๊ปเปิ้ล ฝรั่ง สาลี
6.ธัญพืชไม่ขัดสี ได้แก่ ข้าวกล้อง ข้าวไรย์ ข้าวบัควีทและอาหารทำจากแป้งสาลีไม่ขัดสี เช่น ขนมปังโฮลวีต เส้นพาสต้า 
7.หัวมันกินทั้งเปลือก เช่น มันฝรั่งอบ มันเทศนึ่ง
8.ผักใบเขียวทุกชนิด ดีที่สุด ได้แก่ ผักโขม คะน้า
9.ถั่วเปลือกแข็ง เช่น อัลมอนด์ ถั่วลิสง วอลนัท
10.กล้วย
กินอาหารชีวจิตสิคะ รับรองมีว่ามีครบทั้งสิบชนิดที่ยกตัวอย่างมาแน่นอน 




จาก...www.Cheewajit.com


>>>..

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...